Work-Life Balance จะบาลานซ์อย่างไร

Work-Life Balance บาลานซ์อย่างไร?

Work-Life Balance เป็นมากกว่าแค่เป้าหมายที่คุณต้องทำให้สำเร็จ เป็นสมดุลที่คุณต้องรักษาไว้

หัวข้อยอดฮิตเรื่องหนึ่งของการโค้ชคือ Work-Life Balance ทุกคนอยากได้ อยากใช้ชีวิตที่สมดุล แต่ยังทำไม่ได้จริงสักที

ในองค์กร ผู้ที่ได้เข้าโปรแกรมการโค้ชส่วนมากแล้วเป็นคนที่มีศักยภาพสูง เป็นคนเก่งและมีอนาคตเติบโตกับองค์กรนั้น กลุ่มบุคลากรนี้การถูกคาดหวังอย่างมากทั้งใน Performance, การเป็นผู้นำ หรือการมีบทบาทสำคัญในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ เป็นต้น ความคาดหวังและคุณสมบัติต่างๆที่เขามีกลายเป็นความกดดัน ทำงานตั้งแต่เช้าถึงดีกมากๆ บางคนทำงานตลอดเวลา เวลานอนก็ยังเอาไปคิดต่อ และไม่มีเวลาสำหรับด้านอื่นในชีวิต กลายเป็น Burnouts บางคนมีภาวะเครียดสะสม และหาทางออกไม่ได้ คำว่า Work-Life Balance จึงเป็นเป้าหมายในฝันที่เขาอยากไปให้ถึง

มีงานวิจัยที่เก็บข้อมูลจากบุคลากรในสำนักงานทั่วโลกที่มีอายุระหว่าง 30-50 ปี เป็นผู้บริหารระดับกลางถึงสูง และมีบุตรอย่างน้อย 1 คน พบว่าคนส่วนใหญ่ในกลุ่มนี้ทำงานหนักมาก เหนื่อยล้า และมีความโกลาหล ดูเหมือนว่ากลุ่มนี้มีความเข้าใจว่าชั่วโมงการทำงานที่ยาวนานเป็นความจำเป็นที่จะทำให้เขาประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ในขณะที่คนอีกส่วนหนึ่งตั้งใจจะไม่ใช้ชั่วโมงการทำงานที่ยาวนาน มีกลยุทธ์ในการพัฒนาและรักษาระดับ Work-Life Balance ซึ่งแต่ละคนก็มีวิธีการที่แตกต่างกัน พวกเขามีความตระหนักรู้เกี่ยวกับตนเอง และให้นิยามในบทบาทต่างๆที่ถูกต้อง อย่างไรก็ตามการรักษาสมดุลระหว่างชีวิตส่วนตัวกับการงานไม่ใช่แค่ทำครั้งเดียวแล้วจบ แต่เป็นกระบวนการที่ต้องทำอย่างต่อเนื่องเพราะปัจจัยใหม่ๆที่เข้ามาหรือสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปในแต่ละช่วงเวลา

ขั้นตอนในการรักษาสมดุลของชีวิตและการทำงาน

1. พักเพื่อทบทวน

บางช่วงของการทำงานที่รู้สึกว่าเหนื่อยล้ามากๆ ลองพักเพื่อทบทวนตัวเองว่าอะไรนะที่ทำให้ตอนนี้ฉันเครียดเหลือเกิน อะไรที่ทำให้ฉันไม่พึงพอใจ อะไรที่ทำให้ชีวิตไม่สมดุล สิ่งเหล่านี้ส่งผลอย่างไรต่อการทำงานของฉัน ส่งผลอย่างไรต่อชีวิตส่วนตัว อะไรที่ฉันให้ความสำคัญ อะไรที่ฉันต้องสละทิ้งไป

การพักเพื่อทบทวนนี้จะทำให้เราเห็นปัจจัยต่างๆได้ชัดขึ้น เมื่อเราเห็นแล้วเราก็จะจัดการได้

2. ฟังความรู้สึกของตัวเอง

เมื่อเราตระหนักรู้ในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว ให้ตรวจสอบว่าสถานการณ์นั้นทำให้เรารู้สึกอย่างไรบ้าง รู้สึกมีพลังมากขึ้น พึงพอใจ เติมเต็มชีวิต รู้สึกโกรธ หงุดหงิด เศร้าใจ เป็นต้น ความรู้สึกเหล่านี้จะช่วยเราพิจารณาว่าอยากจะเปลี่ยนแปลงการทำงานและการใช้ชีวิตหรือไม่และอย่างไร

3. จัดลำดับความสำคัญ

ความตระหนักรู้เกี่ยวกับสถานการณ์และเกี่ยวกับความรู้สึกที่เราได้จากข้อ 1 และ 2 นำไปสู่การตัดสินใจในการจัดลำดับความสำคัญได้ดีขึ้น ถามตัวเองว่าอะไรที่เราต้องเสียสละบ้างและเราจะเสียสละสิ่งนั้นเป็นเวลานานเท่าไร ถ้าเราต้องจัดลำดับงานให้สำคัญกว่าครอบครัว ให้ถามตัวเองว่าทำไมจึงต้องจัดลำดับแบบนี้ มันจำเป็นอย่างยิ่งใช่ไหม มันหลีกเลี่ยงไม่ได้ใช่ไหม อะไรที่เรารู้สึกเสียใจแล้วตอนนี้ และถ้าทำเช่นนี้ต่อไปเราจะต้องเสียใจอะไรอีกบ้าง

การจัดสำดับความสำคัญไม่ใช่แค่การจัดตารางงานประจำวัน แต่เป็นการจัดความสมดุลในชีวิตดและการทำงานอย่างตั้งใจเพื่อให้สอดคล้องกับลำดับความสำคัญที่แท้จริง

4. พิจารณาทางเลือก

ก่อนตัดสินใจว่าจะทำอะไรบ้าง พิจารณาว่างานและชีวิตจะเปลี่ยนไปอย่างไรถ้าเราจัดการให้สอดคล้องกับความสำคัญที่แท้จริง องค์ประกอบใดที่งานที่คุณเห็นว่าจะแตกต่างไป คุณต้องการใช้เวลาเท่าไรกับครอบครัวหรือกับงานอดิเรกของคุณ

ปัจจัยและสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป ทางเลือกและการตัดสินใจของคุณก็ต้องปรับตาม

5. ลงมือเปลี่ยนแปลง

เมื่อคุณพิจารณาลำดับความสำคัญและตรึกตรองอย่างถี่ถ้วนแล้วว่าอะไรที่จะช่วยให้คุณมีความสมดุลในชีวิตและงานที่ดีขึ้น ก็ถึงเวลาลงมือทำแล้ว บางเรื่องเป็นการเปลี่ยนแปลงที่คนอื่นต้องรับรู้ร่วมกัน การจัดการความคาดหวังจากเพื่อนร่วมงาน หรือการออกแบบกระบวนการทำงานให้ใช้เวลาน้อยลง บางเรื่องก็เป็นการเปลี่ยนแปลงส่วนตัว เช่นวิธีคิดและสไตล์การทำงานของคุณ คุณอาจจะไม่ทำงานในวันหยุดเลย เดินทางไกลน้อยลง เป็นต้น

นอกจากการใช้ขั้นตอนข้างต้นนี้แล้ว คุณยังสามารถขอความช่วยเหลือจากโค้ชเพื่อให้คุณสะท้อนความคิดได้ดีขึ้น ทบทวนและพิจารณาจากมุมมองที่รอบคอบขึ้น หรือปรึกษาเมนเทอร์เพื่อขอคำแนะนำ รวมทั้งพูดคุยกับคนในครอบครัวด้วย ทั้งนี้การสื่อสารและการทบทวนอย่างสม่ำเสมอจะทำให้การจัดความสมดุลในชีวิตมีความยั่งยืนมากขึ้น

 
อ้างอิง Harvard Business Review January 29, 2021: Work-Life Balance Is a Cycle, Not an Achievement
by Ioana Lupu and Mayra Ruiz-Castro


 
ดร.หนิง ดไนยา ตั้งอุทัยสุข

ติดตามได้ที่ Line @ExcellenceResource คุณจะไม่พลาดบทความพัฒนาผู้นำ